Advertisement
Leaderboard 728x90

“โอสถสภา” เผยผลประกอบการธุรกิจครึ่งแรกปี’67 มีกำไรสุทธิ 1,433 ล้านบาท เติบโต 7.9%

บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP เผยผลการประกอบการธุรกิจไตรมาส 2/2567 เติบโตทั้งยอดขายและกำไรสุทธิทั้งธุรกิจเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล ทำยอดขายพุ่งทั้งในประเทศและต่างประเทศมีรายได้จากการขายรวม 7,345 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.5% (YoY) และเพิ่มขึ้น 1.2% (QoQ)  ในส่วนของผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2567 บริษัทฯ รายงานกำไรสุทธิ 1,433 ล้านบาท เติบโต 7.9% YoY และประกาศจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.30 บาทต่อหุ้น พร้อมเดินหน้าผลักดันการเติบโตตามแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว

นางสาวรติพร ราษฎร์เจริญ Group Chief Financial Officer บริษัท โอสถสภาจำกัด (มหาชน) หรือ OSP เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567 บริษัทฯมีผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศจากการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวที่มุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่งและขยายการเติบโตให้กับธุรกิจหลัก (Core Business)  การใช้กลยุทธ์ความหลากหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ (Brand Portfolio) และการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ (Premiumization) เพื่อรองรับตลาดที่แบ่งเป็นสองราคา  นอกจากนี้โอสถสภายังเดินหน้าขยายฐานกลุ่มผู้บริโภคไปยังกลุ่มใหม่ๆที่มีอัตราการเติบโตสูง ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ “เอ็ม-150” ที่ออกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังในรูปแบบใหม่เจาะกลุ่มลูกค้าที่กว้างขวางยิ่งขึ้น อาทิ กลุ่มพนักงานออฟฟิศหรือกลุ่มคนทั่วไปผู้มีไลฟ์สไตล์ชื่นชอบการทำกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานส่งผลให้กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกไตรมาส  โดยในไตรมาส 2/2567 มีอัตราการเติบโตของรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในประเทศ 4.0% YoY  และยังคงเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังด้วยส่วนแบ่งการตลาดรวม 46.4% โดยมีแบรนด์ “เอ็ม-150” ครองแชมป์อันดับ 1 อย่างแข็งแกร่ง เช่นเดียวกันกับตลาดเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์ที่โอสถสภาครองแชมป์อันดับหนึ่งด้วยส่วนแบ่งการตลาด 45.9% เติบโต 3.8% YoY และ 3.0% QoQ  โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของวิตามินซี  แบรนด์ “ซี-วิท” มีการเติบโตอย่างโดดเด่นด้วยส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 74.4% เติบโต 6.9% YoY ด้านรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในต่างประเทศเติบโต 32.5% YoY โดยปัจจัยหลักมาจากยอดขายที่เติบโตในเมียนมาร์และลาว

Advertisement
Kreamy Proof

ด้านกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล  มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 26.3% YoY และ 18.2% QoQ  จากการนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค  สานต่อความสำเร็จจากการเป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์สบู่เหลวอาบน้ำเด็กด้วยส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ติดต่อกัน 8 ปีซ้อน (2559-2566)   เพื่อก้าวสู่ผู้นำตลาดเพอร์ซันนัลแคร์และโฮมแคร์ในอนาคตโดยล่าสุดได้ออกแบรนด์ผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้ชื่อ “Babi Mild & Beyond” ที่ถือเป็นการขยายพอร์ตโฟลิโอเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่นอกเหนือไปจากเดิมที่มุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กเพียงอย่างเดียวโดยออกสินค้าใหม่ผสานนวัตกรรม “พรีไบโอติก” ตอบรับเทรนด์สุขภาพรองรับความต้องการผู้บริโภคที่ครอบคลุมทุกคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ใหญ่ หรือผู้สูงวัยเสริมด้วยเครือข่ายกระจายสินค้าและการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งทำให้สามารถครองใจและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าครอบคลุมทุกเซกเมนต์

“โอสถสภาเสริมสร้างความเป็นผู้นำตลาดที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์จากการเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังพรีเมียมหรือกลุ่มราคา 12 บาทและสร้างตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังราคา 10 บาท ‘เอ็มน้ำผึ้ง’ ให้ยั่งยืนพร้อมบริหารกลยุทธ์การตลาดที่ “ถูกจุด ตรงใจ ในที่ที่ใช่”เพื่อผลักดันการเติบโตของผลิตภัณฑ์ใหม่ ‘M-150 SPARKLING’ หรือ ‘มิโซซ่า’ผ่านการใช้กลยุทธ์ไอดอล มาร์เก็ตติ้ง (Idol Marketing) ที่มีไลฟ์สไตล์สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายมาร่วมเป็นพรีเซนเตอร์เพื่อเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ Gen Z และ Millennial จนได้รับผลตอบรับที่เกินความคาดหมายในขณะที่กลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์อย่าง ‘เปปทีน’ ‘เปปทีน ดริ๊งค์ดี’และ ‘ซี-วิท’ ก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากทุกช่องทางการจัดจำหน่ายความสำเร็จของผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2567 ที่ผ่านมาจึงเป็นเครื่องยืนยันว่าโอสถสภาสามารถขับเคลื่อนการเติบโตได้ตามแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวที่วางเอาไว้  ทั้งนี้เพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจและการลงทุนใหม่ๆที่จะส่งเสริมให้ธุรกิจหลัก (Core Business) เติบโตตามแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวและสอดคล้องกับเป้าหมายการเติบโต 5 ปีของโอสถสภา  บริษัทฯได้พิจารณาจำหน่ายเงินลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก (Non-Core Business) รวมถึงเงินลงทุนที่โอสถสภามีสัดส่วนการถือหุ้นส่วนน้อยหรือไม่มีอำนาจควบคุมอย่างไรก็ตามสถานะทางการเงินของโอสถสภายังคงแข็งแกร่งด้วยสัดส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นในระดับต่ำที่ 0.01 เท่าสะท้อนความพร้อมในการเปิดรับโอกาสการลงทุนเพื่อรองรับการเติบโตทางธุรกิจสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจหลักและผลักดันการเติบโตด้านใหม่ในอนาคต โดยในครึ่งปีหลังโอสถสภามีแผนที่จะนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ต่อยอดการเติบโตพร้อมกับออกนวัตกรรมสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค”นางสาวรติพรกล่าว

โอสถสภาพร้อมเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจด้วยการนำเสนอสินค้านวัตกรรมเพิ่มอัตรากำไรผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลตลอดจนเร่งการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่จะช่วยต่อยอดธุรกิจหลักเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนส่งมอบผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวแก่ผู้ถือหุ้นและมุ่งสู่เป้าหมายการเป็นพลังเพื่อชีวิตที่ยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย


Advertisement
Leaderboard 728x90
Advertisement
Billboard