Advertisement
Leaderboard 728x90

TFM รายงานกำไรครึ่งปีแรกปี’67 สูงถึง233 ล้านบาท โต 1,064 เปอร์เซ็นต์

บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำและอาหารสัตว์เศรษฐกิจของไทยรายงานผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2567 ด้วยกำไรสุทธิ สูงถึง 233 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 20 ล้านบาทคิดเป็นอัตราการเติบโตถึง 1,064.1 เปอร์เซ็นต์ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 17.5 เปอร์เซ็นต์โชว์ผลงานแกร่งสุดในรอบ 3 ปีพร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.30 บาทต่อหุ้นถือเป็นการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นสูงสุดที่ได้มีการประกาศจ่ายตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตอกย้ำผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง

นายพีระศักดิ์ บุญมีโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยนฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจในครึ่งแรกของปี 2567 ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจเพราะมีอัตราการเติบโตที่ดีและขยายตัวอย่างต่อเนื่องโดย TFM ยังคงเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์น้ำที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดและการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ภายใต้กลยุทธ์ SeaChange® 2030 ของกลุ่มไทยยูเนี่ยนโดยบริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้ 2,545.8 ล้านบาทและมีความสามารถในการทำกำไรที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดโดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 444.6 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 161.3 เปอร์เซ็นต์ และกำไรสุทธิอยู่ที่ 233.4 เพิ่มขึ้นกว่า 1,064.1 เปอร์เซ็น จากช่วงเดียวกันปีก่อนเป็นผลมาจากการควบคุมต้นทุนการผลิตในโรงงานและการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตรวมไปถึงผลการดำเนินธุรกิจของ TFM ในประเทศอินโดนีเซียที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมากตลอดจนการปรับกลยุทธ์การขายและพอร์ตสินค้าของบริษัทฯส่งผลให้อัตรากำไรต่อหุ้นปรับเพิ่มขึ้นจาก 0.04 บาท ต่อหุ้นขึ้นมาอยู่ที่ 0.47 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในครึ่งปีแรกเรายังประกาศจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท รวม 150 ล้านบาท

Advertisement
Kreamy Proof

สำหรับการเติบโตในไตรมาสที่ 2 ปี 2567 TFM มีรายได้จากการขาย 1,296.7 ล้านบาท ขณะที่กำไรขั้นต้น อยู่ที่ 243.5 ล้านบาท เติบโตขึ้น 98.9 เปอร์เซ็นต์ โดยกำไรสุทธิ อยู่ที่ 129.4 ล้านบาทเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากปีที่ผ่านมาถึง 170.9 เปอร์เซ็นต์ซึ่งเป็นผลจากความสม่ำเสมอของการดำเนินกลยุทธ์บริหารจัดการพอร์ตสินค้าที่มุ่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันการขยายตลาด และบริหารจัดการต้นทุนการผลิตซึ่งรวมไปถึงประสิทธิภาพในการผลิตพร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าอาหารสัตว์น้ำสู่สินค้าที่มีศักยภาพส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 18.8 เปอร์เซ็นต์เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากอัตราขั้นต้นที่ 9.1 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า เช่นเดียวกับอัตรากำไรสุทธิที่เพิ่มเป็น 9.8 เปอร์เซ็นต์ จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 3.1 เปอร์เซ็นต์ อัตรากำไรต่อหุ้นปรับเพิ่มจาก 0.10 บาทต่อหุ้น ขึ้นมาอยู่ที่ 0.26 บาทต่อหุ้น

ขณะที่ภาพรวมธุรกิจในครึ่งหลังปี 2567 บริษัทฯคาดการณ์ว่ายอดขายกลุ่มอาหารสัตว์น้ำกำลังจะกลับมาเติบโตทั้งจากการขยายตลาดและการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยบริษัทฯจะมุ่งต่อยอดการพัฒนาอาหารสัตว์น้ำให้ได้คุณภาพมาตรฐานตอบโจทย์เกษตรกรในแต่ละพื้นที่ แต่ละภูมิภาค

“ท่ามกลางปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ท้าทายแต่ธุรกิจอาหารสัตว์น้ำของเรายังคงเติบโตต่อเนื่อง และสามารถขยายตัวได้เนื่องจากเรามีทีมวิจัยและพัฒนาสินค้าที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ทำให้สามารถพัฒนาสินค้าที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของเกษตรกรเพื่อให้เกษตรกรสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน” นายพีระศักดิ์ กล่าว

“นอกจากภาคธุรกิจแล้วเรายังให้ความสำคัญกับการสนับสนุนเกษตรกรไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ในด้านต่าง ๆ เช่น การเพาะเลี้ยง และนวัตกรรมใหม่ ๆ รวมถึงข้อมูลข่าวสารเป็นต้นโดยเดินหน้าจัดทีมให้ความรู้แก่เกษตรกรเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืนต่อเนื่องเช่น ประโยชน์ของการใช้พลังงานสะอาดภายในฟาร์มกุ้ง ฟาร์มปลากะพงการเลือกใช้วัตถุดิบในห่วงโซ่อุปทานและโทษของการใช้สารต้องห้ามในการเลี้ยงสัตว์น้ำ เป็นต้น ขณะเดียวกันบริษัทฯ ร่วมมือกับกลุ่มไทยยูเนี่ยนมีมาตรการรับซื้อผลผลิตสัตว์น้ำที่เป็นวัตถุดิบหลักในกลุ่มฯ เช่น กุ้งขาวและปลากะพง เป็นต้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเกษตรกรในการหาช่องทางตลาดปลายทางให้กับเกษตรกรซึ่งได้มีการทำต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี” นายพีระศักดิ์ กล่าว

Advertisement
The Xpozir

Advertisement
Leaderboard 728x90
Advertisement
Billboard